โรคเลปโตสไปโรซิส
(LEPTOSPIROSIS)
วินัย หมวกพิมาย
โรคเลปโตสไปโรซิส เป็นกลุ่มอาการของโรคจากเชื้อแบคทีเรียที่ติดต่อมาจากสัตว์หลายชนิด
ก่ออาการหลากหลายขึ้นกับชนิดของเชื้อ (Serovas) และปริมาณเชื้อที่ได้รับการติดเชื้อมีได้ตั้งแต่ไม่ปรากฏอาการ มีอาการอย่างอ่อน จนถึงอาการรุนแรง หรือเสียชีวิต คนที่ติดเชื้อในพื้นที่โรคนี้เป็นโรคประจำถิ่น ส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการหรือแสดงอาการอย่างอ่อน
ก่ออาการหลากหลายขึ้นกับชนิดของเชื้อ (Serovas) และปริมาณเชื้อที่ได้รับการติดเชื้อมีได้ตั้งแต่ไม่ปรากฏอาการ มีอาการอย่างอ่อน จนถึงอาการรุนแรง หรือเสียชีวิต คนที่ติดเชื้อในพื้นที่โรคนี้เป็นโรคประจำถิ่น ส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการหรือแสดงอาการอย่างอ่อน
1. ลักษณะของเชื้อ
เชื้อ Leptospira เป็นแบคทีเรียชนิดสไปโรซิส (spirochaete) มีลักษณะเป็นเส้นเกลียวบาง ขนาดกว้างประมาณ 0.1 um ยาว 6-20 um เคลื่อนไหวได้รวดเร็วโดยการหมุน (Spinning) หรือการโค้งงอ (Bending) โดยมากปลายทั้งสองข้างหรือข้างใดข้างหนึ่งจะโค้งหรืองอเป็นขอแต่อาจพบเชื้อที่เป็นเส้นตรง ซึ่งมักจะหมุนเคลื่อนไหวได้ช้ากว่า เชื้อ Leptospira มีเยื่อหุ้ม (Membrane) 3-5 ชั้นเชื้อนี้หากตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์พื้นมืดจะเห็นเป็นเส้นเล็ก ๆ เคลื่อนไหวรวดเร็วแต่อาจสับสนกับสิ่งปลอมปนอื่น ๆ ได้การตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์อีเล็กตรอน Election microscope จะเห็นเป็นเส้นเกลียวชัดเจน
1.2 การแบ่งกลุ่มเชื้อ
เชื้อ Leptospira แบ่งออกเป็น 2 Species ได้แก่เชื้อที่อยู่อิสระในภาวะแวดล้อม Freeliving Saprophyte คือ Leptospira biflexa ที่พบได้ในน้ำจืดหรืออาจพบในน้ำทะเล เป็นเชื้อที่ไม่ทำให้เกิดโรคในคนและสัตว์อื่น ๆ ส่วนเชื้อที่ที่ก่อโรค (Pathogenic) คือ Leptospira interrogans ปัจจุบันมีการศึกษาเพื่อจะแบ่งกลุ่มเชื้อโดยอาศัยความสัมพันธ์ของ DNA ในสหรัฐอเมริกาสำหรับการแยกโดยวิธี ซีโรโลยี่ แบ่งเชื้อได้เป็น 23 กลุ่ม Supgroups
รูปเชื้อเลปโตสไปโรซิส
2. การเกิดโรค
พบได้ทั่วโลก (ยกเว้นขั้วโลก) พบได้ทั้งในเขตเมืองและเขตชนบททั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศ ที่กำลังพัฒนาเนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่มีสัตว์หลายชนิดทั้งสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่าเป็นแหล่งรังโรคที่ปล่อยเชื้อออกมากับปัสสาวะ คนอาจติดโดยการสัมผัสโดยตรงกับปัสสาวะสัตว์หรือโดยทางอ้อมจากการสัมผัสน้ำหรือดินหรือทรายปนเปื้อนเชื้อ
2.1 กลุ่มเสี่ยง
คนทุกกลุ่มอายุทั้งเพศชายและเพศหญิงมีความไวต่อการติดเชื้อไม่แตกต่างกันแต่ถ้าเป็นการติดเชื้อจากการประกอบอาชีพมักเป็นคนในวัยทำงานและเป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง
2.1.1 กลุ่มอาชีพ ได้แก่คนที่มีโอกาสสัมผัสกับสัตว์หรือปัสสาวะสัตว์อยู่เสมอ ๆ
- เกษตรกร เช่น ชาวนา ชาวไร่ คนงานฟาร์มเลี้ยงสัตว์ (โค สุกร ปลา) คนจับหนูขาย ในกลุ่มนี้มีรายงานการติดโรคในชาวนามากที่สุดจากการที่ต้องแช่น้ำเป็นเวลานาน ปัจจัยเสี่ยงได้แก่ ความหนาแน่นของหนูและปริมาณน้ำฝนช่วงเก็บเกี่ยว
- กรรมกร เช่นคนงานขุดลอกท่อระบายน้ำ หรือเหมืองแร่ โรงฆ่าสัตว์ ฯล
- กลุ่มอื่น ๆ ได้แก่สัตวแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ในห้องทดลอง ทหาร ตำรวจ ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามป่าเขา
- ประชาชนทั่วไป มีประวัติย่ำหรือแช่น้ำท่วมขัง ผู้ที่บ้านมีหนูมากและบริเวณบ้านอับชื้นแสงสว่างส่องไม่ถึง บริเวณบ้านมีแอ่งน้ำเฉอะแฉะ ผู้ที่เลี้ยงสัตว์ เช่น สุนัข หนู
3.แหล่งรังโรค
ทั้งสัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงหลายชนิดเป็นแหล่งรังโรค ซึ่งเชื้อแต่ละชนิดเป็นแหล่งรังโรคซึ่งแต่ละชนิด (Serovars) มักมีสัตว์ที่เป็นแหล่งรังโรคหลัก เช่น หนู,สุกร,โค,กระบือ,สุนัข และแรกคูน
- สัตว์ที่เป็นแหล่งรังโรค (Renal tubule) และสามารถปล่อยเชื้อออกมากับปัสสาวะ (Leptospira) ได้เป็นเวลานานหลายสัปดาห์หลายเดือนหรืออาจตลอดชีวิตของมันทำให้มีการแพร่ติดต่อของเชื้อในฝูงสัตว์ จากการเลียกินปัสสาวะ การผสมพันธุ์, การสัมผัสปัสสาวะในสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้การถ่ายทอดเชื้อจากแม่ไปสู่ลูกโดยผ่านทางรกหรือขณะคลอดก็อาจเกิดขึ้นได้ด้วย
พาหะนำเชื้อ
หนู
ผลการตรวจโรคเลปโตสไปโรซิสในฝูงสัตว์ที่พบปัญหาแท้ง ปี พ.ศ. 2540
ชนิดสัตว์ | เปอร์เซ็นต์แอนติบอดิย์ | ชนิดของเชื้อ (serovars) | จังหวัด |
กระบือ | 31% (31/100) | ส่วนมากพบ L. javanica และ L. hyos ส่วนน้อยพบ L Pomona L. pyrogenes L wolffi และ L bataviae | จ.สุรินทร์ |
โค | 28.25% (241/853) | ส่วนมากพบ L. hyos L. javaniga L. Pomona L. pyrogenes และ L. wolffi ส่วนน้อยพบ Licterohaemorrhagiae L.grippotyphosa | จ. ชัยภูมิ จ. ลพบุรี จ. สระบุรี |
แพะ,แกะ | 27.35% (67/245) | L. ictrohaemorrhagiae และ L. akiyami | จ.ระยอง จ. ราชบุรี |
สุกร | 2.15% (8/372) | L. grippotyphosa และ L. ictrohaemorrhagiae | จ.สระแก้ว จ.นครนายก จ.ราชบุรี จ.สุพรรณบุรี |
ชนิดสัตว์ | เปอร์เซ็นต์แอนติบอดิย์ | ชนิดของเชื้อ (serovars) | จังหวัด |
กระบือ | 31% (31/100) | ส่วนมากพบ L. javanica และ L. hyos ส่วนน้อยพบ L Pomona L. pyrogenes L wolffi และ L bataviae | จ.สุรินทร์ |
โค | 28.25% (241/853) | ส่วนมากพบ L. hyos L. javaniga L. Pomona L. pyrogenes และ L. wolffi ส่วนน้อยพบ Licterohaemorrhagiae L.grippotyphosa | จ. ชัยภูมิ จ. ลพบุรี จ. สระบุรี |
แพะ,แกะ | 27.35% (67/245) | L. ictrohaemorrhagiae และ L. akiyami | จ.ระยอง จ. ราชบุรี |
สุกร | 2.15% (8/372) | L. grippotyphosa และ L. ictrohaemorrhagiae | จ.สระแก้ว จ.นครนายก จ.ราชบุรี จ.สุพรรณบุรี |
ตรวจโดยวิธี Microscoscopic Agglutination Test (MAT) ใช้แอนติเจน 12 ซิโรวาร์ ที่เฝ้าระวังในช่วงก่อนปี 2541
4. การติดต่อของโรค
เชื้อถูกปล่อยออกมากับปัสสาวะสัตว์ที่ติดเชื้อและปนเปื้อนอยู่ตามน้ำ ดิน ทราย หรือพืชผัก ที่เปียกชื้น เชื้อสามารถไชเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนัง รอยแผล และรอยขีดข่วน เยื่อบุของปาก ตา จมูก นอกจากนี้ยังสามารถไชเข้าทางผิวหนังปกติที่เปียกชุมเนื่องจากแช่น้ำอยู่นาน คนมักติดเชื้อโดยอ้อมขณะย่ำโคลน แช่น้ำหรือว่ายน้ำหรืออาจติดโรคโดยตรงจากการสัมผัสเชื้อในปัสสาวะสัตว์หรือเนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อนเชื้อ
5. พยาธิกำเนิด
เชื้อเข้าสู่ร่างกายโดยการกินอาหารหรือน้ำหรือการหายใจเอาละอองนิวเคลียสจากของเหลวที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไป (แต่พบน้อย) เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะเข้ากระแสเลือดภายใน 24
ชั่วโมง แล้วจะเพิ่มจำนวนได้สูงสุดภายใน 2-4 วัน (เป็นช่วงที่มีไข้สูง) แล้วกระจายไปตามอวัยวะต่าง ๆ เช่น ลำไส้ เยื่อหุ้มสมอง ปอด หัวใจ โดยมักไปที่ตับ ไต ทำให้เกิดการอักเสบและเนื้อตายตามอวัยวะเหล่านั้น รายที่อาการรุนแรงอาจพบภาวะเลือดออกที่ลำไส้ ปอด ตับวาย ไตวาย ถึงขั้นเสียชีวิตได้ ในระยะ 1-2 สัปดาห์หลังป่วยร่างกายจะเริ่มสร้างภูมิต้านทานโรค ทำให้เชื้อถูกกำจัดออกไปแต่เชื้อส่วนหนึ่งจะหลบเข้าไปอยู่ในไตและเพิ่มจำนวนมากขึ้นแล้วถูกขับออกมากับปัสสาวะเป็นครั้งคราวหรือต่อเนื่องกัน ซึ่งจำนวนและระยะเวลาที่เชื้อถูกขับออกมากน้อยเท่าใดจะสัมพันธ์กับชนิดสัตว์และชนิดของเชื้อ (Serovars) ปริมาณของเชื้อที่ถูกขับออกมาอาจมากถึง 100 ล้านตัวต่อปัสสาวะ 1 มิลลิลิตร
ชั่วโมง แล้วจะเพิ่มจำนวนได้สูงสุดภายใน 2-4 วัน (เป็นช่วงที่มีไข้สูง) แล้วกระจายไปตามอวัยวะต่าง ๆ เช่น ลำไส้ เยื่อหุ้มสมอง ปอด หัวใจ โดยมักไปที่ตับ ไต ทำให้เกิดการอักเสบและเนื้อตายตามอวัยวะเหล่านั้น รายที่อาการรุนแรงอาจพบภาวะเลือดออกที่ลำไส้ ปอด ตับวาย ไตวาย ถึงขั้นเสียชีวิตได้ ในระยะ 1-2 สัปดาห์หลังป่วยร่างกายจะเริ่มสร้างภูมิต้านทานโรค ทำให้เชื้อถูกกำจัดออกไปแต่เชื้อส่วนหนึ่งจะหลบเข้าไปอยู่ในไตและเพิ่มจำนวนมากขึ้นแล้วถูกขับออกมากับปัสสาวะเป็นครั้งคราวหรือต่อเนื่องกัน ซึ่งจำนวนและระยะเวลาที่เชื้อถูกขับออกมากน้อยเท่าใดจะสัมพันธ์กับชนิดสัตว์และชนิดของเชื้อ (Serovars) ปริมาณของเชื้อที่ถูกขับออกมาอาจมากถึง 100 ล้านตัวต่อปัสสาวะ 1 มิลลิลิตร
6. ระยะฟักตัวของโรค ระยะฟักตัวของโรคโดยเฉลี่ยประมาณ 10 วัน หรืออยู่ในช่วง
4-19 วัน (อาจเร็วภายใน 2 วันหรือนานถึง 26 วัน)
7. ระยะติดต่อของโรค ความเสี่ยงจากการติดต่อจากคนถึงคนเกิดขึ้นได้น้อยมาก
มีรายงานเพียงครั้งเดียวที่พบการติดต่อจากการสัมผัสปัสสาวะผู้ป่วย
8. ความไวต่อการรับเชื้อ ทุกคนทุกกลุ่มอายุและทุกเพศมีความไวต่อโรคนี้ใกล้เคียงกัน
9. อาการและการแสดง
อาการในคนอาจแตกต่างกันออกไปขึ้นกับชนิดและปริมาณของเชื้อ อาการที่พบบ่อยได้
แก่ ไข้เฉียบพลัน ปวดศีรษะรุนแรง หนาวสั่น ปวดกล้ามเนื้อรุนแรง (มักปวดที่น่อง,โคนขา,กล้ามเนื้อหลังและท้อง)
แก่ ไข้เฉียบพลัน ปวดศีรษะรุนแรง หนาวสั่น ปวดกล้ามเนื้อรุนแรง (มักปวดที่น่อง,โคนขา,กล้ามเนื้อหลังและท้อง)
ตาแดง อาจมีไข้ติดต่อกันหลายวันสลับกับระยะไข้ลด (Biphasic) และมีเยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีผื่นที่เพดานปาก (Palatal exanthem) โลหิตจาง มีจุดเลือดออกตามผิวหนังและเยื่อบุ ตับและไตวาย ดีซ่าน อาจมีเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ทำให้รู้สึกสับสน เพ้อ ซึม กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ อาจมีอาการทางระบบทางเดินหายใจ ไอมีเสมหะ อาจมีเลือดปน (Hemolysis) และเจ็บหน้าอก แม้ว่าอาการของโรคจะค่อนข้างหลากหลายโดยอาจมีอาการเด่นของอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งที่ถูกทำลายไม่ว่าจะเป็น ไต ตับ หรือระบบไหลเวียนโลหิต แต่จากรายงานที่มีอยู่ในประเทศไทยอาการที่พบ
ได้บ่อยมากคือไข้สูง (88.8-100%) ปวดกล้ามเนื้อ (76-100%) ตาแดง (74-100%) ปวดศีรษะ
(66-100%)
ได้บ่อยมากคือไข้สูง (88.8-100%) ปวดกล้ามเนื้อ (76-100%) ตาแดง (74-100%) ปวดศีรษะ
(66-100%)
อัตราป่วยตายโดยเฉลี่ยต่ำ แต่จะเพิ่มสูงขึ้นในคนไข้สูงอายุและอาจสูงถึง 20% หรือมากกว่าในคนไข้ที่มีดีซ่านและไตถูกทำลาย แต่ไม่ได้รับการรักษาที่รวดเร็วและเพียงพอ
อาการของผู้รับเชื้อ
10 การวินิจฉัยแยกจากโรคอื่น ๆ
ในพื้นที่ ที่มีโรคนี้เป็นโรคประจำถิ่นการติดเชื้อส่วนใหญ่มักไม่มีอาการหรือแสดงอาการแบบอ่อนจนไม่สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้นอกจากนี้ยังไม่ต้องแยกจากโรคอื่น ๆ อีกหลายชนิด เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก ตับอักเสบจากเชื้อไวรัส สครับทัยฟัส มาลาเรีย ไข้ทัยฟอยด์ ไข้เลือดออกฮันตา อาการสมองอักเสบอื่น ๆ
ในช่วง 24-72 ชั่วโมงแรกของอาการโรคเลปโตสไปโรซิส อาจคล้ายกับโรคสครับทัยฟัสและโรคไข้เลือดออกฮานทามาก ซึ่งในเกาหลีที่พบโรคทั้ง 3 โรคนี้ค่อนข้างชุกชุมมีรายงานว่าตัวอย่างเลือดที่ส่งไปตรวจทาง ซีโรโลยี่ ต่อโรคไข้เลือดออกฮานทานั้น มีแอนติบอดิ 21% ต่อโรคเลปโตสไปโรซิส 6% ต่อโรคสครับทัยฟัส ในทางตรงกันข้ามที่สิงคโปร์พบว่า 3% ของผู้ป่วย 261 คนที่สงสัยป่วยด้วยโรค เลปโตสไปโรซิส มีไตเตอร์แสดงว่าติดเชื้อไวรัสฮานทา
อาการเฉพาะเพาะของโรคเลปโตสไปโรซิสที่พบได้ในระยะแรก ๆ ของการป่วยจะมีไข้ ปวดศีรษะรุนแรงและปวดกล้ามเนื้อแยกจากโรคอื่น ๆ ได้ยากดังนั้นจึงต้องอาศัยผลการตรวจทางห้องปฏิบัติมาช่วยได้แก่ ระดับ Creatinine และ urea ในเลือดเพิ่มสูงขึ้น เม็ดเลือดขาวเพิ่มสูงขึ้นและบางรายอาจพบ แอนติบอดิย์ เพิ่มสูงขึ้น
การแยกเชื้อได้จากเลือด ปัสสาวะหรือน้ำไขสันหลังถือเป็นการยืนยันผลการตรวจในการ
พิสูจน์โรคในผู้เสียชีวิตจะพบการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพ ซึ่งได้แก่ ดีซ่าน เลือดออกในเนื้อเยื่อต่าง ๆ ไตโตและซีดมีเลือดออก การเสื่อมสลายของเซลล์ที่ Renal tuble และตับและอาจพบเชื้อ
เลปโตสไปราจากการย้อมสีเนื้อเยื่อด้วย
พิสูจน์โรคในผู้เสียชีวิตจะพบการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพ ซึ่งได้แก่ ดีซ่าน เลือดออกในเนื้อเยื่อต่าง ๆ ไตโตและซีดมีเลือดออก การเสื่อมสลายของเซลล์ที่ Renal tuble และตับและอาจพบเชื้อ
เลปโตสไปราจากการย้อมสีเนื้อเยื่อด้วย
การดูแลรักษาผู้ป่วย
การรักษาโรคควรประกอบด้วยการให้ยาปฏิชีวนะที่รวดเร็วและเหมาะสม การรักษาตามอาการเพื่อแก้ไขความผิดปกติและภาวะแทรกซ้อนร่วมกับการรักษาประคับประคอง
การให้ยาปฏิชีวนะโดยเร็วที่สุดจะช่วยลดความรุนแรงและป้องกันอาการแทรกซ้อนของโรคได้ Penicillin ถือเป็นยาปฏิชีวนะที่ให้ผลการรักษาดีที่สุด สำหรับรายที่แพ้ Penicillin อาจให้ Doxycycline
ยาปฏิชีวนะ Cephalosporins และ Lincomycin มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อนี้ในห้องทดลองได้ดี แต่ยังไม่มีการศึกษาในผู้ป่วย
การทดลองในสัตว์ (Elwell et at 1985) โดยใช้ยา Doxycycline ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อ (Bacteriostatic) มากกว่าการฆ่าเชื้อ (Bacteriocidal) ยานี้จะดูดซึมเร็วในเนื้อเยื่อต่าง ๆ รวมทั้งไต สมองและน้ำไขสันหลัง (NEU 1978) ผลการเพาะเชื้อไม่พบการดื้อยาและในลิงพบว่าสามารถลดระยะพบเชื้อในเลือดลงได้ รวมทั้งป้องกันการติดเชื้อในน้ำไขสันหลังและ
ในปัสสาวะได้ด้วย ผลการทดลองในหนูตะเภาพบว่าสามารถป้องกันการติดเชื้อในปัสสาวะและป้องกันการตายได้
ในปัสสาวะได้ด้วย ผลการทดลองในหนูตะเภาพบว่าสามารถป้องกันการติดเชื้อในปัสสาวะและป้องกันการตายได้
กลวิธีการป้องกันและควบคุมโรค
จัดระบบการเฝ้าระวังโรค พัฒนาศักยภาพของการเฝ้าระวังโรคในด้านต่าง ๆ เช่น
การพัฒนาและเพิ่มห้องปฏิบัติการ การพัฒนาวิธีการตรวจทั้ง screening tests และ confirmatory tests รวมทั้งการพัฒนาระบบการแจ้งโรค การรายงานและระบบข้อมูลข่าวสาร จะทำให้ได้ข้อมูล
ที่เป็นประโยชน์ต่อการกำหนดมาตรการป้องกันควบคุมโรคที่มีประสิทธิ์ภาพ เช่น ข้อมูลผู้ป่วย
ข้อมูลการสอบสวนการระบาดของโรค การสำรวจโรคในสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่า การสำรวจแหล่งน้ำ ดิน ทราย เพื่อค้นหาแหล่งปนเปื้อนหรือแหล่งแพร่เชื้อ เป็นต้น
การพัฒนาและเพิ่มห้องปฏิบัติการ การพัฒนาวิธีการตรวจทั้ง screening tests และ confirmatory tests รวมทั้งการพัฒนาระบบการแจ้งโรค การรายงานและระบบข้อมูลข่าวสาร จะทำให้ได้ข้อมูล
ที่เป็นประโยชน์ต่อการกำหนดมาตรการป้องกันควบคุมโรคที่มีประสิทธิ์ภาพ เช่น ข้อมูลผู้ป่วย
ข้อมูลการสอบสวนการระบาดของโรค การสำรวจโรคในสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่า การสำรวจแหล่งน้ำ ดิน ทราย เพื่อค้นหาแหล่งปนเปื้อนหรือแหล่งแพร่เชื้อ เป็นต้น
ลดการปนเปื้อนเชื้อในสภาวะแวดล้อม ควบคุมจำนวนหนู ทั้งในบริเวณที่อยู่อาศัยของคน พื้นที่ทำการเกษตรกรรม บริเวณเลี้ยงปศุสัตว์และแหล่งพักผ่อนท่องเที่ยว เพื่อลดการปนเปื้อนเชื้อเลปโตสไปราในสภาวะแวดล้อม ซึ่งในทางปฏิบัติจะไม่สามารถกำจัดหนูออกไปได้
ทั้งหมด แต่การลดประชากรหนูลงในระดับหนึ่ง จะช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคระบาดได้ การควบคุมจำนวนหนูควรเลือกวิธีเหมาะสม เช่น การสร้างอาคารที่กันหนูได้ การใช้วัสดุพื้นลื่น เช่น สังกะสีหุ้มรอบเสายุ้งฉาง การปรับปรุงสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการกำจัดขยะ การทำคันนาให้เล็กและเตี้ยเพื่อป้องกันไม่ให้หนูมาทำรัง การกำจัดหนูโดยวิธีกล การใช้สารเคมีทำลายหนูและการอนุรักษ์ศัตรูตามธรรมชาติของหนู เช่น งู พังพอน นกแสก นกเค้าแมว ให้อยู่ในสมดุลย์
จะช่วยควบคุมประชากรหนูไม่ให้เพิ่มมากเกินไป
ทั้งหมด แต่การลดประชากรหนูลงในระดับหนึ่ง จะช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคระบาดได้ การควบคุมจำนวนหนูควรเลือกวิธีเหมาะสม เช่น การสร้างอาคารที่กันหนูได้ การใช้วัสดุพื้นลื่น เช่น สังกะสีหุ้มรอบเสายุ้งฉาง การปรับปรุงสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการกำจัดขยะ การทำคันนาให้เล็กและเตี้ยเพื่อป้องกันไม่ให้หนูมาทำรัง การกำจัดหนูโดยวิธีกล การใช้สารเคมีทำลายหนูและการอนุรักษ์ศัตรูตามธรรมชาติของหนู เช่น งู พังพอน นกแสก นกเค้าแมว ให้อยู่ในสมดุลย์
จะช่วยควบคุมประชากรหนูไม่ให้เพิ่มมากเกินไป
ควบคุมจำนวนสุนัขจรจัด ซึ่งควรเริ่มตั้งแต่การคุมกำเนิดสุนัขมีเจ้าของไม่ให้มีลูกมากเกินไปจนเจ้าของนำไปปล่อยให้เป็นสุนัขจรจัด การส่งเสริมการดูแลรับผิดชอบสุนัข การปรับปรุงสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมและรวมทั้งการกำจัดโดยตรงในกรณีจำเป็น
ให้การป้องกันโรคแก่สัตว์เลี้ยง ทำได้โดย ฉีดวัคซีนให้สุนัข วัคซีนที่มีจำหน่ายในประเทศไทยผลิตจากซีโรวาร์ ที่พบบ่อยในสุนัข คือ Licterohaemorrtagiae และ L canicota แต่ไม่ครอบคลุมซีโรวาร์ที่พบมากในประเทศไทย เช่น L bataviae การฉีดวัคซีนที่มีซีโรวาร์ที่พบบ่อยในท้องถิ่นจะช่วยป้องกันโรคหรือลดความรุนแรงของโรคในสุนัขได้แต่ไม่สามารถป้องกันการเป็นพาหะได้ ดังที่มีรายงานการติดเชื้อในคนที่ได้รับเชื้อจากสุนัขที่ฉีดวัคซีนแล้ว (Bey and Johnson. 1978 Feigin et al. 1973)
- ไม่ปล่อยสุนัขออกไปเพ่นพ่านนอกบ้าน เพราะอาจไปสัมผัสหนูหรือแหล่งปนเปื้อนเชื้อได้
- ควบคุมกำจัดหนูในบ้านและบริเวณบ้านป้องกันควบคุมโรคในฝูงปศุสัตว์ เช่น โค กระบือ สุกร ฯ โดย
- ตรวจหาการติดเชื้อในสัตว์ ถ้าพบสัตว์ติดเชื้อต้องแยกออกเพื่อไม่ให้แพร่เชื้อไปยังสัตว์อื่นและให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะที่ได้ผลดี เช่น dihydrostreptomycin
- ถ้ามีการระบาดของโรคในฝูงสัตว์ อาจพิจารณาทำลายทั้งฝูง เพื่อสกัดกั้นวงจรการแพร่เชื้อ
- สัตว์ที่ตายด้วยโรคเลปโตสไปโรซิส ควรทำลายด้วยการฝังหรือเผา ไม่ควรชำแหละเพราะทำให้เชื้อแพร่ติดต่อมาถึงคนได้
- ในกรณีที่พบว่าซากในโรงฆ่าสัตว์มีพยาธิสภาพของโรคนี้ เช่น ไตมีเลือดออกหรือเนื้อตาย ไม่ควรนำไปเป็นอาหาร ควรตัดซากส่วนนั้นทิ้งไป
- ควบคุมกำจัดหนูบริเวณคอกสัตว์อย่างสม่ำเสมอ
- ไม่ปล่อยสุนัขเข้ามาปะปนอยู่กับฝูงสัตว์
- ปรับปรุงสุขาภิบาลในบริเวณเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะการกำจัดมูลสัตว์และการปรับบริเวณพื้นผิวคอก และพื้นดินให้แห้ง
- ฉีดวัคซีนป้องกันโรคที่ประกอบด้วย serovar ที่พบมากในท้องถิ่นนั้นให้แก่สัตว์จะช่วยป้องกันไม่ให้สัตว์เป็นโรคได้ แต่ไม่สามารถป้องกันการเป็นพาหะหรือลดระยะเวลาการขับเชื้อออกมากับปัสสาวะ
แก้ไขการปนเปื้อนเชื้อในสภาวะแวดล้อม วิธีการแก้ไขการปนเปื้อนเชื้อในบริเวณที่อยู่อาศัย พื้นที่เกษตรกรรม แหล่งพักผ่อนท่องเที่ยว อาจทำได้โดย
- ถ้าพบการปนเปื้อนเชื้อในท่อระบายน้ำ ควรล้างระบายน้ำออกไป
- การปรับพื้นผิวดินให้แห้ง
- การใช้มาตรการทางกฎหมาย เช่น หากพบการปนเปื้อนเชื้อในแหล่งน้ำตาม
ธรรมชาติ อาจประกาศห้ามใช้ชั่วคราวจนกว่าจะแก้ไขการปนเปื้อนได้
ธรรมชาติ อาจประกาศห้ามใช้ชั่วคราวจนกว่าจะแก้ไขการปนเปื้อนได้
- การใช้สารเคมีฆ่าเชื้อในพื้นที่เกษตรกรรม เช่น การใช้ copper sulfate ความเข้มข้น 1: 40,000 พ่นในนาข้าวในปริมาณ 1,500 กรัม/เฮคเตอร์ พบว่าสามารถทำลายเชื้อเลปโตสไปราได้ แต่เป็นวิธีไม่คุ้มทุน นอกจากนั้นยังมีการศึกษาการใช้สารเคมีอื่น ๆ ด้วย เช่น calcium cyanamide และhypochlorite แต่พบว่าไม่ได้ผล
ป้องกันและหลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อ สำหรับพื้นที่เสี่ยงต่อโรคนี้ ควรดำเนินการให้สุขศึกษาประชาสัมพันธ์แก่ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงสูง ให้เข้าใจถึงวิธีการติดต่อของโรค รู้จักวิธีป้องกันการสัมผัสเชื้อ เนื้อหาที่ให้ความสอดคล้องกับสภาพปัญหา และปัจจัยหรือพฤติกรรมเสี่ยงในแต่ละกลุ่ม เช่น
- ดื่มน้ำต้มสุกและบริโภคอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ ด้วยความร้อน
- ปกปิดอาหารและน้ำไม่ให้หนูมาปัสสาวะรดได้
- หมั่นล้างมือภายหลังจับต้องเนื้อ ซากสัตว์ และสัตว์ทุกชนิด
- ในพื้นที่เสี่ยงควรหลีกเลี่ยงการแช่หรือลุยน้ำที่อาจปนเปื้อนเชื้อจากปัสสาวะสัตว์นำโรค โดยเฉพาะถ้ามีแผลที่เท้าและมือ ไม่ว่าจะเป็นแผลเล็กน้อยหรือขีดข่วน ถ้าจำเป็นหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรสวมรองเท้าบู๊ท หรือไม่แช่น้ำนานหลายชั่วโมงเพราะผิวหนังจะชุ่มน้ำจนอ่อนนุ่ม ทำให้เชื้อไชเข้าผิวหนังที่ไม่มีแผลได้ และเมื่อขึ้นจากน้ำแล้วต้องรีบอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดทันที
- ทำทางเดินในพื้นที่เกษตรกรรม สำหรับการทำงานที่ไม่จำเป็นต้องลงลุยน้ำย่ำโคลนจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อได้
- ใช้เครื่องนุ่งห่มป้องกัน เช่น สวมรองเท้าบู๊ทยาง ถุงมือยาง เพื่อป้องกันการแช่สัมผัสน้ำโดยตรงและสวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว เพื่อป้องกันไม่ให้ใบหญ้า ใบอ้อยบาดเป็นแผล เป็นต้น
- ควรเผาบริเวณรอบไร่อ้อยก่อนเก็บเกี่ยว เพื่อไล่หนูออกไปไม่ให้มาปัสสาวะรด ซึ่งอาจทำให้เชื้อออกมาปนเปื้อนบริเวณทำงาน
- การฉีดวัคซีนป้องกันแก่คนงานและผู้ประกอบอาชีพเสี่ยงต่อโรค เป็นวิธีที่ใช้ในญี่ปุ่น จีน อิตาลี สเปน ฝรั่งเศส และอิสราเอล โดยแต่ละประเทศมักใช้วัคซีนที่ผลิตเองในประเทศ เพื่อให้มีส่วนประกอบของ serovar ที่พบมากในพื้นที่นั้น
- การใช้ยา doxycycline พบว่าสามารถป้องกันโรคนี้ได้ดีโดยให้รับประทานยา 200 มิลลิกรัม สัปดาห์ละครั้งในระหว่างที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงสูง ข้อแนะนำนี้อ้างอิงผลการทดลองของ Takafuji et al. 1984 ที่ได้ทำการศึกษาในกลุ่มคน เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม (placebo) 471 คน โดยให้ทหารในกลุ่มทดลองรับประทาน doxycycline 200 มิลลิกรัมหลังอาหารภายใน 2 ชั่วโมง (ถ้าทิ้งระยะถึง 5-7 ชั่วโมง จะมีผลข้างเคียง เช่น อาเจียน) ในวันแรกที่เข้าป่า ต่อมาทุกต้นสัปดาห์ และวันสุดท้ายก่อนกลับ พบอัตราการติดโรค (attack rate) ในกลุ่มที่รับประทานยาเท่ากับ 0.2% (1/469) ในกลุ่มควบคุม เท่ากับ 4.2 % (20/471) โดย attack rate ในกลุ่มรับประทานยาต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p < 0.001, efficacy = 95%)
การพิจารณาใช้ยาป้องกันการติดเชื้อ (chemoprophylaxis) ในพื้นที่อื่น ๆ ควรมีการศึกษาวิจัยรองรับประสิทธิผลของมาตรการนี้ ควรพิจารณาจำกัดการใช้เฉพาะในกลุ่มเสี่ยงโรคสูง ที่ไม่สามารถใช้วิธีการป้องกันอื่นๆ ได้และมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสโรคในระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น นอกจากนี้ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดความเสียหายตามมาด้วย โดยเฉพาะปัญหาการดื้อยาปฏิชีวนะ
- บุคลากรที่ดูแลผู้ป่วย ควรระมัดระวังการสัมผัสเลือดและสารคัดหลั่งจากผู้ป่วย และสิ่งของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนปัสสาวะของผู้ป่วย ต้องนำไปฆ่าเชื้อ
สอบสวน ป้องกันและควบคุมการระบาด ควรค้นหาแหล่งที่มาของการติดเชื้อ เช่น แหล่งน้ำ เรือกสวน ไร่ นา ฟาร์มปศุสัตว์และโรงงานอุตสาหกรรม แล้วแก้ไขการปนเปื้อนเชื้อ หรือห้ามการใช้ชั่วคราวรวมทั้งการแยกและรักษาสัตว์ที่ติดเชื้อ
เอกสารอ้างอิง
คู่มือวิชาการ โรตเลปโตสไปโรซิส กองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวง
สาธารณสุข หน้า 7 ,8 ,10,12,13,14,15,16,17
สาธารณสุข หน้า 7 ,8 ,10,12,13,14,15,16,17